การเดินครั้งแรก
เรื่องราวเล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ตัวฉันและเพื่อนอีก 2 คนที่อยากจะเดินทางเพื่อจะไปติวที่ขอนแก่น แต่พวกเราก็พบกับปัญหาคือ พ่อแม่ของพวกเราไม่มีใครว่างที่จะไปส่ง ด้วยความที่ตัวฉันและเพื่อนอยากจะไปติว(ติวฟรี 7 วัน ใครๆก็อยาก ติวเตอร์มีแต่คนดังๆ) พวกเราจึงคิดพวกเราจะเดินทางด้วยตนเอง มันเป็นการเดินทางครั้งแรกที่จะฉันไปโดยไม่พ่อกับแม่ไปด้วย แต่ยังดีที่ฉันอีกมีเพื่อนอีก 2 คน (ในใจฉันคิดว่ามันคงเป็นการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆและการไปติวครั้งนี้เป็นการไปติวที่ฉันตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในด้านการเรียนเลยก็ว่าได้ ฉันคิดว่าอย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ฉันจะอะไรมากมายในการไปครั้งนี้ และเป็นเรื่องที่ฉันคิดไว้ตั้งหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เริ่มต้นสักที)
ณ ตอนก่อนจะไปได้ 2-3 วัน ฉันกังวลว่าจะไปติวด้วยตนเองดีไหม อีกใจหนึ่งก็กลัวอะไรหลายอย่างที่จะพบเจอ แต่อีกใจหนึ่งก็เอาวะ ไปหาประสบการณ์อยากเริ่มต้นอะไรใหม่ๆให้กับชีวิต ส่วนพ่อแม่ฉันก็เป็นหวังกลัวเป็นอันตราย พ่อแม่คอยถามฉันว่า คิดดีแล้วหรอไปได้แน่นะ? แต่พ่อกับแม่ของฉันก็ไม่ได้ห้ามให้ไปท่านบอกว่า มันขึ้นกับการตัดสินใจของฉัน (เพราะ ตัวฉันไม่เคยไปเที่ยวไกลๆตัวเอง นอกจากพ่อกับแม่จะไปด้วยมันจึงอะไรที่ต้องคิดแล้วคิดอีก ) พอมาถึงก่อนวันจะไปได้ 1 วัน ฉันตัดสินใจ ไม่ไป เพราะฉันกลัว ยังไม่พร้อมที่จะไป ฉันยังไม่เตรียมใจ และยังไม่ได้เก็บข้าวของเลย เพื่อนของฉันโทรมาหาฉัน เราได้คุยจนเข้าใจ ทำให้ฉันรู้สึกมีความพร้อมในตัวเองมากขึ้นจนฉันซึ่งได้ตัดสินใจเก็บของเตรียมตัวออกเดินวันพรุ่งนี้ แล้วเก็บข้าวของเสร็จ ฉันก็รีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า (ฉันรู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย รู้สึกว่าพรุ่งนี้จะเจออะไร จะเป็นยังไงบ้าง แต่สุดท้ายฉันก็หลับจนได้)
ฉันตื่นตอนตี 5 (รุ้สึกหนาวเย็นแปลกๆ5555++) เตรียมออกเดินทาง(ต้องขอพรการจากพ่อแม่ ใส่พระไปด้วยทำให้รู้สึกสบายใจ) แม่ฉันไปส่งฉันที่ บขส. เวลา 6 โมงเช้า ฉันและเพื่อนซื้อติ๋วเพื่อจะไปขอนแก่นจากนั้นประมาณ 06.10 นาที รถก็ออกเดินทาง เมื่อออกเดินทางไปได้ไม่นาน เพื่อนของฉันก็หลับ (ฉันรู้สึกว่าทำไมตัวฉันไม่ง่วงหรืออยากนอนทั้งๆยังเช้า หรืออาจเป็นเพราะฉันรู้สึกตื่นเต้น)ฉันคอยมองวิวระหว่างข้างทางว่าฉันผ่านอะไรบ้างฉันจดสถานที่ ที่รถผ่านในสมุดบันทึก (ฟังเพลงไปด้วยรู้สึกดีจัง^-^) เมื่อใกล้ถึงขอนแก่นฉันจึงถามเพื่อนว่าแล้วเราจะไปพักอยู่ไหนกัน(คือเอาตรงๆ ตอนที่จะมาก็โกหกพ่อแม่ว่ามีที่พักแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่มีหรอก)
ไอดอลของฉัน
ถ้าพูดถึงไอดอลแล้วฉันมีไอดอลมากมายเลยทีเดี๋ยว ไม่ว่าจะด้านการเรียน การงาน การเงิน แม้กระทั่งความรัก และไอดอลของฉันบางคนก็อยู่รอบๆ ตัวฉันเอง โดยเฉพาะไอดอลด้านการดำรงชีวิตเนี่ยเป็นใครเป็นไม่ได้นอกจาก "พ่อของฉันเอง" (55555+) พูดแล้วจะหาว่าเข้าข้างพ่อตัวเอง พ่อของฉันคือไอดอลในทุกๆเรื่องทุกๆด้านเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงานพ่อของฉันทำงานได้เก่งสุดๆไปเลย เป็นคนตั้งใจทำงาน มีความกระตือรือร้น มีระเบียบวินัยตรงต่อเวลา เวลาทำงานกับเพื่อนฝูงก็เห็นยิ้มอารมณ์ดีตลอดเวลาดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี ซึ่งแตกต่างจากตัวฉันเวลาทำงานกับผู้คนมากๆ ยิ่งมากคน ยิ่งมากความ ทำให้ฉันไม่ค่อยชอบสักเท่าไร (แต่ก็รู้นะเวลาทำงานจะไม่ให้เกิดปัญหาก็คงเป็นไปไม่ได้เราควรเลือกรับฟังผู้อื่นด้วย หาหนทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด จะว่าไปพูดมันก็พูดได้นะแต่ทำมันยาก) อืม...
นอกจากพ่อจะทำงานเก่งล่ะ พ่อยังเป็นไอดอลในการทำดี การรู้จักกตัญญูพ่อแม่ การทำบุญทำทานพ่อใส่บาตรทุกวัน แถมยังปลุกให้ฉันขึ้นมาใส่บาตรเกือบทุกวัน ชมพ่อเยอะแหละแม่ของฉันก็ไม่แพ้กัน ต้องยกให้เป็นคุณแม่ที่เก่งที่สุดในโลกเลย เพราะแม่ของฉันดูแลฉันเป็นอย่างดี ด้านการทำงานแม่ฉันสุดยอดไม่แพ้พ่อของฉันเหมือนกัน แม่ของฉันเป็นชอบทำอาหารด้านการอยู่การกิน แม่ไม่เคยให้อดยากเลี้ยงเป็นดีกลัวแต่ฉันไม่อิ่ม อาหารฝีมือแม่ถือเป็นอาหารที่อร่อยสำหรับฉันเสมอ(ทุกๆคนในครอบครัวเลยสินะ) ขนาดเพื่อนของฉันยังบอกเลยว่า "อาหารที่แม่ฉันทำอร่อย" (พอเล่าให้แม่ฟังก็ความอมยิ้มคะ แต่เดียวนี้ รสเค็ม จะเน้นนักไปหน่อย 555++) เรื่องการทำอาหารก็เลยยกให้แม่เป็นไอดอลไปครอง
ไอดอลของฉัยยังไม่หมดแค่นั้นหรอกนะ ยังมีไอดอลคนนี้ที่เป็นไอดอลมาตั้งแต่ ม.3 จนมาถึงปัจจุบันนี้นั้นคือดร. นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ที่ตัวฉันชื่นชอบจากการได้ดูรายการ วีไอพี ตอนให้สัมภาษณ์เกี่ยวตัว ดร. นิศรา เองทำให้ตัวฉันชื่นชมในความเก่งและความตั้งใจของ ดร. นิศรา เป็นอย่างมาก ฉันได้ติดตามผลงานมาตลอด และฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ ดร. นิศรา เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองเป็นอย่างมาก ทำให้ทำตัวฉันคิดริเริ่มจะทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนชีวตของตัวเองในหลายๆ เรื่องและเวลาที่ฉันท้อแท้ ฉันจะนึกข้อความ ข้อความหนึ่งที่เขียนในหนังสือเล่มนั้นว่า อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ขอเพียงแค่มุ่งมั่นตั้งใจ และเลือกในสิ่งที่อยากทำ รวมทั้งรักในสิ่งที่ทำอยู่ ก็จะผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ (ยิ้มอ่อนๆ) และคนที่ทำให้ฉันเหมือนค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร หรือทำให้รู้ว่าชอบอะไร คือ ครูศินีนาฏ วงค์ศรีชา ครูเป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าชอบเวลาที่ได้เรียน ฟิสิกส์ เพราะเวลาตอบคำถามจะถูกหรือผิด ครูไม่เคยบอกว่าคำตอบนั้นผิด ครูบอกว่าคำตอบของเรานั้นไม่มีผิดหรอกแต่แค่มันยังไม่ถูกที่สุด ครูให้โอกาสทุกๆคน ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่เก่งได้แสดงความคิดของตนเอง ทำให้ฉันรู้กล้าแสดงความคิดของตนเองออกมาเพราะรู้สึกว่าคำตอบที่นั้นมันผิด!!!!! ฉันรู้สึกว่าตนเองสามารถเรียนได้เข้าใจมากขึ้น เพราะเวลาที่ไม่เข้าใจหรือไม่รู้เรื่อง ฉันจะไม่กล้าแสดงออก เพราะคนอื่นจะมองว่า โง่ หรือแบบอะไรไม่เข้าใจหรอ เรื่แงแค่นี้ ?(แล้วก็จะเสียงโวยวาย เพราะเวลาเพื่อนคนไหนไม่เข้าใจครูจะกลับไปทบทวนอีกครั้ง) อะไรประมาณนี้ แต่ด้วยอะไรหลายๆ ทำให้ชอบเวลาที่ได้เรียน "ฟิสิกส์" และทำให้ครูกลายเป็นไอดอลของฉันอีกคน
อนาคตของฉันในอีก 10 ปีข้างหน้า
ถ้าพูดถึงเรื่องอนาคตของฉันในอีก 10 ปีข้างหน้าแล้ว อายุคง 26 ปีไปแล้ว ถ้าเรียนปริญญาตรีก็จบได้ 2 ปีละ ตอนนั้นก็อายุ 16 ปีแล้ว เรื่องอาชีพในอนาคตตอนนี้อยากเป็นพยาบาล ถ้าอายุ 26 ปี ณ ตอนนั้นคงได้เป็นพยาบาล ทำงานในโรงพยาบาล ถ้าเป็นไปก็อยากทำงานใกล้บ้าน เพราะจะดูแลคุณพ่อคุณแม่ไปด้วย แต่ ณ ตอนนั้น (คิดแล้วก็เมื่อชีวิตอยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บสร้างบ้านซื้อรถ) อนาคตก็ต้องมีความสุขสบายใช้ชีวิตแบบที่ตนมี มีไร่ , นา มีสวนผลไม้ เพาะเห็ด เลี้ยงปลา แบบปลอดสารภัย (อะไรประมาณนี้ ?)
สวนผลไม้
นาข้าว
สวนดอกไม้
ความอุดมสมบูรณ์
เป็นของตนเองโดยมีพ่อแม่เป็นคนดูแล มีญาติพี่น้องมาทำงานทำสวน
ความรักความสามัคคี
ณ ตอนนั้นคงมีความสุขน่าดู คงจะร้องหัวเราะ และรอยยิ้มตลอดเวลาที่ได้อยู่กับพวกเขา
รอยยิ้มที่บากบาน
เสียงหัวเราะที่สดใส
ได้ทำอาชีพที่ชอบมีครอบครัวที่อบอุ่น ได้กินกับข้าวฝีมือแม่ทุกวัน ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา 4 คนพ่อ แม่ น้องและตัวฉันเอง ใช้ชีวิตแบบที่เราเคยเป็น
เป็นตาแซ่บแท้
นอกจากนั้น ผลผลิตที่ได้จากสวนของเราสามารถนำไปฝากเพื่อนร่วมหรือคนไข้ได้ด้วย แต่ฉันยังไม่ทิ้งการเป็นพยาบาล ฉันก็จะทำหน้าที่การเป็นพยาบาลที่ดี ดูแลคนไข้เป็นอย่างดีเป็นร่วมงานที่ดี (แต่เราจะพยายามทำให้ได้นะ แต่อาจจะต้องปรับตัวอีกเยอะ555+) และสุดท้ายนี้ความฝันที่อยากให้เป็นจริงมากที่สุดคือการได้พาครอบครัวไปเที่ยวประเทศไทยให้ครบทั้ง 4 ภาค
วาดฝันให้เป็นจริง
ป.ล ขอขอบคุณรูปภาพสวยจากเพจ facebook ไปเที่ยวไหน เพจ facebook ไปคนเดียว